เมื่อเวลาเช้าประมาณ 8.50 น. วันที่ 2 มกราคม พ.ศ.2500 เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้กลางเมืองพิษณุโลก เป็นอัคคีภัยครั้งใหญ่ ที่ถือว่ายังอยู่ในความทรงจำของผู้คนในยุคนั้นอย่างแน่นอน ต้นเพลิงของเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดจากความซุกซนของเด็กชายชวลิต หรือ อู๊ด วัย 4 ขวบ ลูกชายเจ้าของร้านตัดเสื้อศิริวรรณ ได้แอบเล่นไม่ขีดไฟ จุดเผากระดาษบนฟูกนอน ทำให้ไฟลุกไหม้และลุกลามอย่างรวดเร็ว กินเวลากว่า 24 ชั่วโมง สร้างความเสียหายแก่ตลาดย่านใจกลางเมืองพิษณุโลกกว่า 150 ล้านบาท อัคคีภัยครั้งนี้ถือว่าเป็น “พิษณุโลกวิปโยคแห่ง ปี 2500” เลยก็ว่าได้ จากวันนั้นถึงถึงวันนี้ แม้จะเป็นเวลานานกว่า 60 ปี แต่เหตุการณ์นี้ ก็เป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่ลืมไม่ลง
ในวันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปสัมผัสประสบการณ์ลืมไม่ลงของคนรุ่นเก่า ที่ตอนนั้นเป็นหนุ่ม สาว และเด็กๆ กันอยู่ ทางเราจึงลงพื้นที่แถวย่านตลาดใต้ เมืองพิษณุโลก เพื่อสอบถามคุณตา คุณยายที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นมาบอกเล่าให้คนรุ่นใหม่ได้ทราบกัน
จากการสอบถาม คุณตาเทียม มั่นเจริญศิริ อายุ 79 ปี เล่าว่า ตอนนั้นตนกำลังเข้าวัยรุ่น อายุ 18 ปี จำได้ดีว่า ในเช้าวันนั้นตนนั่งเล่นอยู่ที่บ้าน ได้ยินเขาบอกว่าไฟไหม้ ไม่นึกว่าจะมาถึงบ้านของตน เพราะว่าจุดเกิดเพลิงอยู่ห่างจากบ้านพอสมควร พอเวลาประมาณสัก 9.00 น. มองเห็นไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง จึงรีบเก็บของที่จำเป็นได้เพียงนิดน้อย หนีไปอยู่ริมแม่น้ำน่านและทำได้แค่มองดูไฟลามไหม้ไปเรื่อย ๆ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากรู้สึกกลัวและตื่นเต้นกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ต่อมาเราจึงเดินทางไปในบริเวณใกล้เคียง พบคุณยายเหมาะวดี แซ้เลี่ยว อายุ 81 ปี เราจึงขออนุญาตเข้าไปสอบถาม คุณยายเล่าว่า ตอนนั้นตนอายุ 20 ปี มีคนวิ่งไปดูต้นไฟและมาบอกว่าไฟได้ลามมาละแวกนี้แล้ว ทางครอบครัวตนไม่ได้เก็บของอะไร คาดว่าน่าจะไม่ทันไฟที่ลุกลามมาอย่างรวดเร็ว เพราะละแวกนั้นเป็นห้องแถวไม้ยาวเรียงกัน ง่ายต่อการลุกลาม จากนั้นก็ลงไปอยู่ริมน้ำ ใครมีพรรคพวกก็ลงแพ ใครไม่มีพรรคพวกก็ไปที่ว่างแถวโรงพัก ซึ่งทั้งนี้ครอบครัวตนได้ไปอาศัยอยู่ข้างโรงพักชั่วคราว
หลังจากสอบถาม คุณยายเหมาะวดีเป็นที่เรียบร้อย ใกล้ ๆ กันนั้นก็มี “ร้านสกุลไทย” ที่ได้เช่าที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่ในตอนนั้น ก็ได้ประสบปัญหาจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ จากการสอบถามเจ้าของร้าน เล่าว่า ตอนเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ทางครอบครัวได้หนีไปอยู่กันทางวัดจันทน์ มองมาเห็นไฟไหม้ลงที่ละหลัง ๆ ทุกคนหนีเหมือนอพยพ หนีเหมือนเกิดสงคราม
หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้สงบ ทางครอบครัวก็ไปอาศัยที่โรงเรียนสิ่นหมิน เสื้อผ้าก็ไม่มีใส่ต้องรอรับแจก อาหารก็คือข้าวต้มเปล่า ๆ จากข้าวสารที่รับมา ก่อนที่จะก่อร่างสร้างตัวใหม่ ใช้ที่ทำกินเดิมสมัยไฟยังไม่ไหม้ ตึกที่อยู่ปัจจุบันก็เป็นตึกที่สร้างกันเอง กว่าจะสร้างตึกแถวเสร็จก็เข้า ปี 2502 พอดี
สุดท้ายเราจึงสรุปสถานการณ์หลังเหตุไฟไหม้ ตามคำบอกเล่าของคุณตา คุณยาย ที่ทางเราได้ลงพื้นที่ไปสัมภาษณ์ ได้ความสอดคล้องกันว่า หลังจากที่ไฟเริ่มสงบลง ประชาชนก็ได้อาศัยอยู่ตามริมแม่น้ำบ้าง โรงเรียนบ้าง เสื้อผ้า อาหารก็ต้องรอรับจากของบริจาค ทุกคนในย่านที่ไฟไหม้ต้องสร้างฐานะ สร้างตัวใหม่กันหมด และทางการอนุญาตให้ตั้งแผงลอยขายของในที่ ๆ เป็นบ้านเดิมของตนได้ กว่าจะสร้างตัวกลับมาเหมือนเดิมก็ใช้เวลากว่าปีสองปี