30 ธ.ค. 66 – นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวนิเคอิ โดยย้ำถึงโครงการแลนด์บริดจ์ของไทยว่า โครงการดังกล่าว เป็นการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ สร้างการเชื่อมต่อที่ไร้รอยต่อ มีเครือข่ายท่อส่งน้ำมันและก๊าซ ครอบคลุมการสร้างท่าเรือน้ำลึก ที่ จ.ระนอง และจ.ชุมพร
โดยท่าเรือทั้ง 2 แห่งจะเชื่อมต่อกับทางด่วน และทางรถไฟทางคู่ แต่ละท่าเรือจะมีขีดความสามารถในการรองรับตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐานได้มากถึง 20 ล้านตู้ต่อปี จึงเพิ่มโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคได้ระยะยาว และสอดคล้องกับนโยบายการทูตทางเศรษฐกิจเชิงรุกของรัฐบาล ที่อำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้า และผู้คนที่เพิ่มขึ้น ระหว่างตะวันออก และตะวันตก มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย
โดยจะเป็นเส้นทางการค้าทางทะเลที่มีศักยภาพ เพิ่มเติมจากช่องแคบมะละกา และจะช่วยลดระยะเวลาเดินทางระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก ประมาณ 4 วัน ช่วยลดต้นทุนการขนส่งลงได้ราวร้อยละ 15
นายเศรษฐา ระบุว่า ยืนยันว่า ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ จะต้องได้รับการพิจารณา และแก้ไขผ่านกระบวนการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และผลกระทบด้าสุขภาพ (EHIA ) อย่างรอบคอบก่อน ส่วนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะต้องควบคุมการจัดเตรียมการให้บริการ สิทธิประโยชน์ทางภาษี และสิทธิในที่ดินภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่วางแผนไว้ที่ท่าเรือใหม่
รวมถึงหลักเกณฑ์สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ และสิ่งจูงใจด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง การพำนัก และใบอนุญาตทำงาน เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีหน่วยงานหลักหน่วยงานเดียวที่รับผิดชอบโครงการโดยรวม เพื่อให้มั่นใจว่า การดำเนินงานจะบูรณาการร่วมกัน
“แผนการก่อสร้างในระยะแรก จะเริ่มในเดือนก.ย. 2568 และดำเนินการจนถึงเดือนต.ค.2573 สามารถประมูลโครงการได้ ระหว่างเดือนเม.ย.- มิ.ย. 2568 คาดว่า โครงการแลนด์บริดจ์ จะสร้างเม็ดเงินให้ประเทศไทย และเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ สร้างการจ้างงาน รวมถึงสร้างโอกาสการพัฒนาใหม่ๆ ในจังหวัดอื่นในภาคใต้ของประเทศด้วย
ที่มา – ข่าวสด